วันพุธที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ระบบเสียงในอาคาร และระบบเสียงห้างสรรพสินค้า

ระบบเสียงตามสายดิจิตอล(เข้ารหัสสัญญาณ)แบบแบ่งกลุ่มได้

DPA-3030 Digital Sound Matrix Public Address System Main Controller , 30 Watts Power O/P , 30 Zones selector w/Tone Adjust, 4 Input,telephone

     สุดยอดนวัตกรรม ระบบกระจายเสียงตามสายดิจิตอล ที่สามารถตอบสนองการใช้งานระบบเสียงตามสาย , ระบบกระจายเสียงตามสาย , ระบบเสียงประกาศตามสาย , ระบบกระจายเสียงสาธาณะ , ระบบเสียงประกาศภายในอาคาร , ระบบกระจายเสียงภายในอาคาร ,ระบบกระจายเสียงทางไกลอัตโนมัติ ,หอกระจายข่าวแบบไร้สายอัตโนมัติ หรือ หอกระจายข่าวแบบตามสายอัตโนมัติ ง่ายในการติดตั้งและการดูแล ใช้สายโทรศัพท์แบบมาตรฐานเพียงคู่เดียวก็สามารถส่งสัญญาณเสียงได้ไกลมากกว่า 10 กิโลเมตร ระบบการเข้ารหัสดิจิตอลทำให้แต่ละจุดที่ติดตั้งลำโพงสามารถปรับคุณภาพเสียงให้มีความดังและมีคุณภาพที่เท่ากันทุกจุด สามารถรองรับการแบ่งกลุ่มการเลือกกระจายเสียงได้ถึง 30 โซน และรองรับการประกาศฉุกเฉินผ่านทางระบบโทรศัพท์ได้ เหมาะสำหรับทุกงานกระจายเสียงและยังสามารถใช้งานร่วมกับระบบกระจายเสียงที่มีอยู่เดิมให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อีกด้วย
  • เครื่องควบคุมระบบกระจายเสียงตามสาย  ดิจิตอล รองรับการควบคุมได้ 30โซน
  • รองรับการประกาศและเลือกโซนผ่านระบบโทรศัพท์บ้าน และโทรศัพท์มือถือ
  • เลือกกระจายเสียงบางโซน ,เลือกหลายๆโซน หรือเลือกทุกโซนพร้อมกัน
  • แต่ละโซนสามารถประกาศหรือกระจายเสียงในโซนนั้นๆ และส่วนกลางแทรกเข้ามาได้
  • สามารถปรับความดังเบาของแต่ละโซนอิสระ
  • ง่ายและสะดวกในการติดตั้ง เพิ่มขยาย และดูแล บำรุงรักษา
  • เดินสายเพียงเส้นเดียวส่งได้มากกว่า 10 Km.

ระบบเสียงตามสาย ระบบกระจายเสียงตามสายสาธารณะ

ระบบเสียงตามสาย ระบบกระจายเสียงตามสายสาธารณะ

ระบบเสียงตามสาย ระบบกระจายเสียงตามสายสาธารณะ (Conventional Public address System)
     ระบบการกระจายเสียงไปตามสาย คือการส่งสัญญาณเสียงจากแหล่งกำเนิดเสียงต้นทาง อาจจะเป็นไมโครโฟน หรือเครื่องเล่นเสียง CD/VCD/DVDMP3 หรือจากเครื่องรับวิทยุ หรือแหล่งอื่นๆ แล้วส่งไปที่เครื่องขยายเสียงเพื่อทำการขยายให้ได้กำลังสูงๆ เพื่อจะได้ส่งไปตามสายในระยะทางที่ไกลๆ โดย ที่ปลายทางจะมีลำโพงต่ออยู่
     ระบบเสียงตามสาย อาจถูกเรียกได้หลายแบบเช่น ระบบเสียงตามสาย เสียงตามสาย ระบบประกาศ ระบบกรจายเสียงตามสาย ระบบกระจายเสียงสาธารณะ เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่มีความหมายในทางเดียวกัน  อาจจะมีวัตถุประสงค์และรูบแบบการใช้งานที่แตกต่างกันบ้าง ไม่สำคัญ แต่พื้นฐานหลักการจะมีองค์ประกอบเหมือนที่เขียนมาในตอนต้น
     การใช้งานระบบเสียงตามสายนิยมใช้ในระยะที่ไม่ไกลมาก โดยปกติจะใช้ภายในอาคาร ระหว่างอาคาร หรือในพื้นที่หน่วยงาน โดยเฉลี่ยจะไม่เกิน 2 กิโลเมตรเนื่องจาก ยิ่งระยะทางไกลจะทำให้เกิดความต้านทานในสาย และทำให้สัญญาณเสียงลดคุณภาพ หรือดังค่อยลง
ข้อดีของระบบเสียงตามสายแบบนี้ คือ ง่าย สะดวกในการติดตั้งและดูแล คุณภาพเสียงระดับประกาศใช้ได้ แต่ไม่นิยมใช้กับระยะทางไกลถึงแม้จะสามารถส่งได้หลายกิโลก็ตาม ดังนั้นการเลือกใช้งานจะต้องให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นคนออกแบบและติดตั้ง เพราะถ้าติดตั้งไปแล้วอาจเจอปัญหาหลายๆอย่างได้
ตัวอย่างการออกแบบ (งบประมาณตั้งแต่ 50,000 ขึ้นไป)
     ตัวอย่างระบบกระจายเสียงสำหรับ ชุมชน/ หมู่บ้าน/ หน่วยงาน/ โรงงาน ที่ต้องการติดตั้งระบบเสียงตามสายจำนวนจุดลำโพงไม่เกิน 15 ตัวและระยะสายไม่เกิน 2 กิโลเมตร อุปกรณ์ประกอบติดตั้งพร้อมใช้งาน

ระบบกระจายเสียงผ่านเครือข่ายไอพี

IP Network Public Address System
     รูปแบบใหม่ของระบบกระจายเสียงสาธารณะผ่าน IP Network (Internet Protocol) ทั้งแบบเสียงตามสาย หรือไร้สาย ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่า  รองรับการแบ่งโซน ควบคุมการเปิด/ปิดจากส่วนกลาง  สะดวก ประหยัด และง่ายในการเพิ่มขยาย สามารถเชื่อมเข้ากับระบบ LAN เดิมของหน่วยงานได้เลย เหมาะกับทุกหน่วยงาน เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล โรงงาน โรงแรม ห้างสรรพสินค้า มหาวิทยาลัย ชุมชน หมู่บ้าน เทศบาล อบต. วัด และหน่วยงานราชการต่างๆ เป็นต้น
1.ระบบกระจายเสียงผ่าน IP Network รูปแบบที่ง่ายๆ การใช้งานไม่ยุ่งยากสามารถรองรับการตั้งแบ่ง     กลุ่มได้ตั้งแต่ 1โซนขึ้นไป ส่งสัญญาณผ่าน LAN หรือ ระบบ Wirless Wifi ก็ได้ เพียงแค่ตั้งชุดส่ง  และชุดรับสัญญาณ  ก็สามารถส่งสัญญาณเสียงผ่านเครือข่าย IP Network ได้ สะดวกในการติดตั้งและใช้งาน เพราะปัจจุบันทุกหน่วยงานก็มีระบบ LAN เดินทั่วถึงทุกอาคารอยู่แล้ว ไม่ต้องกังวลเรื่องการเดินสายอีกต่อไป








วันพุธที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

LNB คือ

LNB คืออะไร

LNB (Low Noise Block down Converter)
       คืออุปกรณ์ขยายสํญญาณรบกวนต่ำ เป็นภาคขยายสํญญาณความถี่วิทยุ (RF Amplifier) ที่มีLNA:Low Noise Amplifier อยู่ภายใน จะทำหน้าที่รับและขยายสัญญาณที่รับมาจากหน้าจานดาวเทียมและควบคุมระดับสัญญาณรบกวน Noise ให้มีค่าน้อยที่สุด จากนั้นจะทำการส่งผ่านภาคแปลงความถี่ให้ต่ำลง Down Converter เช่นแปลงความถี่ย่าน C-Band จาก3.7-4.2 GHzให้เหลือ 950-2050 MHz จึงจะสามารถส่งผ่านไปกับสายสํญญาณ RG6U ไปยังเครื่องรับได้
LNB มี 2 ประเภท
          LNB C-Band
          LNB KU-Band มี 2 แบบ
          แบบยูนิเวอร์แซลความถี่ 9750-10600 MHz
          แบบมาตรฐานความถี่ 11300 MHz

การเลือกใช้แบบไหนกับดาวดวงใดมีสูตรดังนี้
        ใช้ความถี่ช่องที่ต้องการดูเช่นดาวเทียม Nss6 ku ช่อง ASTV ความถี่ 11635 - ความถี่LNB 10600 = 1035 MHz หากใช้ความถี่ 11635 - ความถี่LNB แบบมาตรฐาน 11300 ก็จะได้ 11635-11300 =335 MHz ค่าความถี่ที่จะได้ต้องอยู่ที่ตัวเลข 950 -2150 MHz เท่านั้น หัวรับแบบยูนิเวอร์แซลมีขอดีอีกอย่างคือสามารถรับความถี่ย่านสูงได้แบบนี้ มีวงจร Local Oscillator อยู่ 2 ชุด เพื่อให้รับสัญญาณได้ทั้ง 2 ช่วงความถี่ โดยมีวงจร โทนความถี่ 22 Kเป็นตัวควบคุม ซึ่งความถี่ 22 K นี้ จะส่งจากเครื่องรับดาวเทียม โดยผสมสัญญาณไปกับไฟเลี้ยง LNBหากมีสัญญาณความถี่ 22 K สวิตซ์ ที่ควบคุมด้วยความถี่ จะสั่งงานให้ Local Oscillator ในย่าน high band ทำงาน หากไม่มีี่สัญญาณ 22 K ส่งไปที่ LNB สวิตซ์ ที่ควบคุมความถี่ จะสั่งงานให้ Local Oscillator ในย่าน low band ทำงานแทนเช่นกัน ปัจจุบันมีโรงงานผลิตหัวรับแบบ C/KU ออกมาจำหน่ายและง่ายต่อการใช้งานกับจานC-Band รับได้2ระบบในดาวดวงเดียวกัน หรือใช้กับจานแบบหมุนหรือเรียกอย่างว่าจานมูฟ




การใช้เข็มทิศสำหรับติดตั้งจานดาวเทียม

 การใช้เข็มทิศสำหรับติดตั้งจานดาวเทียม   
- ใช้วัดทิศทางในการรับสัญญาณ
- ใช้เทียบวัดปรับขั้วการรับสัญญาณของตัว LNB

การเลือกใช้เข็มทิศสำหรับติดตั้งจาน
       เข็มทิศมีอยู่มากมายหลายแบบ...แต่ที่นิยมมากที่สุดสำหรับช่างติดตั้งจานดาว เทียมในขณะนี้คือ...เข็มทิศแบบไม้บรรทัด เหมือนภาพตัวอย่างนี้...ไม่ว่าจะเป็นบริษัทดาวเทียมใหญ่หรือเล็ก...ตอนนี้ แนะนำให้ใช้เข็มทิศแบบนี้กันทั้งนั้นละครับ

        ข้อดีของเข็มทิศแบบนี้ก็คือ....สามารถหมุนปรับตั้งตัวเลขอ้างอิงได้...ใช้ วัดปรับทิศได้ค่อนข้างแม่น...และใช้วัดปรับขั้วการรับสัญญาณของตัว LNB ได้ด้วย...และสำหรับท่านที่นำไปใช้ควบคู่กับแผนที่ที่มีอัตราส่วนเท่ากันกับ ตัวเลขที่พิมพ์ไว้ข้างๆตัวเข็มทิศ...ก็จะสามารถวัดระยะทางเป็นแบบกิโลเมตร ได้เลยละครับ...และสุดท้ายที่ยากจะแนะนำคือมีแว่นขยายให้ใช้ด้วย...สรุป เข็มทิศนี้ค่อนข้างดีจึงยากแนะนำให้ใช้กันครับ
       เข็มทิศเป็นอุปกรณ์ใช้สำหรับวัดทิศทาง  เพื่ออ้างอิง เป็นอุปกรณ์ตัวเล็กแต่ประโยชน์มากมายครับ  ตัวเข็มทิศผลิตจากแผ่น แม่เหล็กบางๆ  วางไว้บนจุดหมุนที่ไม่มีแรงเสียดทาน  เมื่อเราปล่อยให้แผ่นแม่ เหล็กบางๆนี้เคลื่อนไหวแบบอิสระ  ตัวแผ่นแม่เหล็กก็จะหมุนไปหยุดอยู่ที่จุดๆหนึ่ง  ซึ่งจุดนี้เองทำ ให้เราอ่านทิศทางได้
                       


        การกำหนดทิศเหนือและใต้ที่ตัวเข็มทิศ  สำหรับเข็มทิศรุ่นนี้จะมีการทาสีไว้ที่ตัวเข็ม  โดยกำหนดให้ฝั่งสีแดงเป็นทิศเหนือและฝั่งสีดำจะเป็นทิศใต้  ( เมื่อเข็มทิศหมุนไปหยุดตามทิศทางมันแล้วเท่านั้นครับ )
          
                             
ทิศใต้
ทิศตะวันออก    ทิศตะวันตก
ทิศเหนือ


การนำเข็มทิศและอลูมิเนียมมาประกอบใช้งาน สำหรับใช้วัดทิศทางการรับสัญญาณในการติดตั้งจานดาวเทียม
        การใช้เข็มทิศสำหรับการติดตั้งจานดาวเทียม ต้องระวังเรื่องการรบกวนที่ จะเกิดกับตัวเข็มทิศด้วย เพราะจะทำให้การวัดทิศเกิดความผิดพลาดได้และเป็นผลให้หาสัญญาณดาวเทียมไม่เจอด้วยครับ การรบกวนเกิดได้จาก ชิ้นส่วนที่เป็นเหล็ก และ  อุปกรณ์ที่มีแม่เหล็ก   สิ่งเหล่านี้ หากว่าตัวเข็มทิศวางอยู่ใกล้ๆ จะทำให้เข็มทิศเพี้ยนจากความเป็นจริงได้ ต้องระวังเมื่อมีการเทียบวัด

ต่อไปนี้คืออุปกรณ์เสริมที่จะทำให้การวัดทิศวัดได้แม่นยำยิ่งขึ้น
* สาเหตุที่ต้องใช้อลูมิเนียมมาประกอบใช้...เพราะแผ่นแม่เหล็กของตัวเข็มทิศจะ ไม่ดูดกับตัวฉากอลูมิเนียมทำให้การปรับเทียบวัด...ทำได้แม่นยำยิ่งขึ้นครับ

  อุปกรณ์ที่ใช้

  1. อลูมิเนียมแบบฉากความยาวประมาณ 2 ฟุต หรือ 60 ซม. ห้ามใช้เหล็ก
  2. เข็มทิศแบบไม้บรรทัดตามแบบภาพหรือไกล้เคียง เอาแบบปรับหมุนื             องศาได้

นำเอาเข็มทิศติดไว้กับอลูมิเนียมแบบฉากโดยใช้เทปกาว 2 หน้า
เท่านี้ท่านก็มีอุปกรณ์วัดทิศแบบสุดยอดไว้ใช้ติดตั้งจานดาวเทียมแล้วละครับ
                         
   วิธีการใช้เข็มทิศสำหรับจาน FIX.  
        ถ้าเราใช้เข็มทิศเป็นก็จะช่วยให้การติดตั้งง่ายและเร็วยิ่งขึ้นครับ
การใช้เข็มทิศสำหรับจาน FIX. มีขั้นตอนง่ายๆดังนี้ครับ
 1. เลือกดาวเทียมที่จะรับ
 2. เช็คมุมส่ายของดาวเทียมที่จะรับว่าอยู่ที่กี่องศา ( Az ) แต่ละจังหวัดไม่          เหมือนกัน
 3. ปรับหมุนตัวเลขที่วงกลมสีส้มของเข็มทิศให้ได้ตัวเลข ตามค่าองศามุม          ส่าย
 4. นำเข็มทิศไปวางทาบด้านข้างคอจาน
 5. ปรับดันหรือดึงหน้าจานให้เข็มทิศหมุนตรงตามทิศ เหนือใต้
     โดยให้เข็มสีแดงชี้ที่ตัว N และเข็มสีดำชี้ที่ตัว S
     เท่านี้เราก็จะได้ทิศของจานแบบ Fix. แล้วละครับ ที่เหลือก็ปรับมุมก้มเงย      ช่วย

ทดลองใช้เข็มทิศตั้งรับ ดาวเทียม ไทยคม 2/3

1. เปิดดูจากตารางจะมีทิศมุมส่าย  (Az) ทที่ 240 องศา สำหรับกรุงเทพฯ     ครับ ( แต่ละจังหวัดมีค่าไม่เท่ากันครับ )
2. ปรับหมุนเข็มทิศให้ได้ตัวเลขที่ 240 องศา เหมือนภาพตัวอย่าง ให้         สังเกตุตัวเลขที่หมุน ให้ไปตรงกับขีดสีแดง ที่อยู่ด้านล่างของเข็มทิศ
    ( ขีดสีแดงนี้คือเส้นสำหรับอ้างอิง )


การใช้ชุดเข็มทิศวัดที่หน้าจาน
เมื่อตั้งตัวเลขได้ตามองศามุมส่าย Az แล้ว
1. ให้นำชุดเข็มทิศไปทาบกับด้านข้างคอจานเพื่อปรับวัด
2. ปรับดึงหรือดันหน้าจานดาวเทียมพร้อมสังเกตุที่ตัวเข็มทิศ ให้เข็มที่         หมุนตรงกับทิศเหนือและทิศใต้ หรือ N กับ S โดยเข็มสีแดงจะตรงกับ     ทิศเหนือ N และเข็มสีดำจะตรงกับทิศใต้ S

        เมื่อเราปรับมุมส่ายหน้าจานได้แล้วเท่ากับว่า...จานรับดาวเทียมจะหันหน้าไป ทางดาวเทียมที่เราต้องการรับแล้ว  ขั้นตอนต่อไปก็เป็นการปรับมุมก้มเงยหาสัญญาณครับ  การปรับรับดาวเทียมดวงอื่นๆก็ทำเช่นเดียวกัน


 

  วิธีการใช้เข็มทิศ  สำหรับจานแบบมูฟ   
        จานแบบมูฟจะมีการวัดทิศเพื่ออ้างอิงเพียงจุดเดียว  คือทิศใต้ครับ วิธีการใช้เข็มทิศวัดทิศใต้จะมีวิธีการวัดง่ายๆดังนี้ครับ


         ปรับหมุนที่วงกลมสีส้มให้ตัว S ที่วงกลมสีส้มตรงกับเส้นอ้างอิงสีแดงด้านล่างของเข็มทิศดังภาพตัวอย่าง                

        นำเข็มทิศมาวางทาบกับคอจานดังภาพ  แล้วใช้มือดึงหรือดันหน้าจานให้ตัวเข็มทิศหมุนชี้ตรงตามทิศของเข็มทิศดัง ภาพ โดยให้เข็มสีแดงชี้ที่ตัว N และเข็มสีดำชี้ที่ตัว S แค่นี้ก็จะได้ทิศใต้ของจานแบบหมุนแล้วครับ หน้าจานของจานแบบ มูฟจะหันหน้าไปทางทิศใต้เสมอครับและการวัดนี้เป็นเพียงทิศอ้างอิงนะครับ

   

   

ปรับหน้าจานให้ตัวเข็มทิศสีดำแดงตรงแบบภาพตัวอย่าง
คือ N ตรงกับสีแดง S ตรงกับสีดำ เท่านี้หน้าจานก็จะหันไปทางทิศใต้เรียบร้อยแล้วครับ

C - Band กับ Ku - Band คืออะไร ต่างกันอย่างไร

C Band กับ Ku Band คืออะไร ต่างกันอย่างไร

  
        ดาวเทียมที่อยู่เหนือผิวโลกสูงประมาณ 36,000 กิโลเมตร ส่งสัญญาณแค่ไม่กี่วัตต์ออกมา เจอสภาพบรรยากาศของโลกสัญญาณก็จะถูกหน่วงไปประมาณ 200 dB พอมาถึงพื้นโลกนั้นสัญญาณที่เหลือจะอ่อนมากๆ เราจึงต้องใช้สายอากาศในลักษณะรูปร่างคล้ายจานที่เราเรียกว่าจานดาวเทียม เพื่อที่จะทำการรวมสัญญาณอ่อนๆเหล่านี้โดยการสะท้อนไปรวมกันยังจุดโฟกัส แม้จะรวมสัญญาณโดยรอบและจากทุกตำแหน่งของจานแล้วก็ตาม ค่าความเข้มของสัญญาณที่ได้ก็ยังน้อยมากในระดับ ไมโครวัตต์เท่านั้น (1 ใน ล้าน)
        สัญญาณเหล่านี้ก็จะถูกนำไปประมวลผลด้วยวงจรอิเลคทรอนิคส์ แต่เนื่องจากสัญญาณนั้นอ่อนมาก อาจจะมีโอกาศถูกรบกวนได้สูง จึงต้องมีการขยายสัญญาณทันทีหลังจากรับสัญญาณมาแล้วด้วยเครื่องขยายสัญญาณรบกวนต่ำหรือ Low Noise Amplifier (LNA) คุณสมบัติเด่นอันหนึ่งของการรับสัญญาณดาวเทียมก็คือจำนวนสัญญาณที่จานจะรับได้นั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับความถี่ นั่นคือหากจานมีขนาดเท่ากัน สัญญาณจะได้รับแรงขึ้นหากความถี่ที่ส่งมานั้นสูงขึ้น นั่นหมายถึงว่าจานเดียวกันนั้น Gain จะสูงที่ความถี่สูง ทำให้เราสามารถใช้จานเล็กๆ รับสัญญาณที่ความถี่สูงได้ ทำให้การออกอากาศในปัจจุบันใช้ Ku band หรือแม้แต่ Ka band ในการออกอากาศทีวีผ่านดาวเทียม กลับมาในเรื่องของความแตกต่างระหว่าง Ku Band กับ C Band ข้อมูลก็จะเป็นดังตาราง

ชื่อย่านความถี่ Downlink Freq (GHz) Uplink Freq(GHz)
S BAND 2.555 – 2.635 5.855 – 5.935
Extended C Band (lower) 3.4 – 3.7 5.725 – 5.925
C BAND 3.7 – 4.2 5.925 – 6.425
Extended C Band (Upper) 4.5 – 4.8 6.425 – 7.075
Ku Band 10.7 – 13.25 12.75 – 14.25
Ka Band 18.3 – 22.20 27.0 – 31.0

       โดยรวมๆแล้วข้อมูลจากตารางจะเห็นได้ว่าช่วง C-Band คือช่วงความถี่ต่ำระหว่าง 4 – 7 GHz ส่วนช่วง Ku Band จะอยู่ในช่วง 10 – 14 GHz ที่ความถี่สูงจานรับสัญญาณดาวเทียมก็จะมีลักษณะหนาทึบ ในขณะที่ย่าน C-Band จานรับสัญญาณดาวเทียมจะมีลักษณะโปร่งๆ เนื่องจากใช้ความถี่ต่ำกว่า สรุปความแตกต่างได้ดังนี้

จานดาวเทียม C-Band
- ความถี่ในการทำงานอยู่ในย่านต่ำ 4 – 8 GHz
- ครอบคลุมพื้นที่บนผิวโลกกว้างกว่า
- ความเข้มสัญญาณต่ำ
- จานรับจะมีลักษณะเป็นตะแกรง มีขนาดใหญ่
- ไม่มีปัญหาเวลาฝนตก

จานดาวเทียม Ku-Band
- ความถี่ในการทำงานอยู่ในย่านสูง 10 – 12 GHz
- สามารถใช้งานที่มีขนาดเล็กลง เช่นขนาด 35 ซมได้
- มีปัญหาเวลาฝนตก (Rain Fade)
- ความเข้มของสัญญาณในการส่ง C-Band จะเบากว่า Ku-Band เป็นเหตุผลในทางเทคนิค ตามข้อที่ 2
- พื้นที่ครอบคลุมของสัญญาณ ( Beam Coverage Area) ระบบ C-Band จะใช้งานเพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่รับสัญญาณได้กว้างขวางทั่วทั้ง   ทวีป แต่ระบบ Ku-Band จะใช้เพื่อครอบคลุมพื้นที่เฉพาะในประเทศ ในทางเทคนิคต้องส่งสัญญาณ C-Band ให้มีความเข้มของสัญญาณ   น้อยกว่า Ku-Band เพื่อไม่ให้เกิดการรบกวนกันได้
- ลักษณะของใบจานรับสัญญาณ C-Band จะเป็นตะแกรงโปร่ง หรือทึบ ทรงกลม ขึ้นรูปพาราโบลิค ขนาดทั่วไปเส้นผ่าศูนย์กลาง 4.5 - 10   ฟุต ส่วน Ku-Band จะเป็นจานทึบ Offset รูปไข่ ขนาด 0.35 - 1.80 เมตร
- ขนาดของจานรับสัญญาณดาวเทียม จากเหตุผลข้อที่ 1 ทำให้ระบบ Ku-Band สามารถใช้ใบจานขนาดเล็กกว่า C-Band ค่อนข้างมาก       ตัวอย่างเช่น UBC จะใช้ใบจาน offset ขนาด 35 - 75 ซม. ก็สามารถรับสัญญาณได้ดี ในขณะที่ระบบ C-Band ต้องใช้จานขนาดใหญ่กว่า   ถึง 2-3 เท่า เพื่อให้รับสัญญาณได้ดี
- ลักษณะของแผ่นสะท้อนของใบจาน ระบบ Ku-Band จะเป็นโลหะแผ่นเรียบจะเป็นอลูมีเนียม หรือ เหล็กชุบสี ในขณะที่ C-Band ส่วน       ใหญ่จะเป็นตะแกรงปั้มเป็นรูเล็กๆ จาน C-Band จานแบบทึบมีให้เห็นบ้างแต่น้อยมาก และไม่เป็นที่นิยม เนื่องจากน้ำหนักมาก และต้าน     ลมแล้วถ้าหากว่า จะใช้จานแบบ C-Band รับสัญญาณระบบ Ku-Band ได้มั้ย ตอบว่าได้แต่ในทางกลับกันจะเอาจาน Ku-Band มารับ         สัญญาณ C-Band ไม่ได้ นอกจากจะใช้จานขนาดใหญ่จริง ๆ
- หัวรับสัญญาณ ซึ่งในทางเทคนิคเรียกว่า LNBF (Low Noise Block Down Frequency) เป็นตัวแปลงสัญญาณความถี่สูงให้ตำลงมาจน     เหมาะสมกับภาครับของเครื่องรับสัญญาณ (Receiver) ซึ่งระบบ C-band จะรองรับความถี่ 3.4-4.2 GHz ในขณะที่ Ku-Band รองรับ         ความถี่ 10-12 GHz จึงใช้แทนกันไม่ได้ อาจมีบางรุ่นที่ทำแบบ 2 in 1 คือ เอาหัว 2 ระบบบรรจุไว้ใน Case เดียวกัน
- เครื่องรับสัญญาณ (Receiver) โดยทั่วไปไม่แตกต่างกันนอกจากผู้ผลิตจะเจตนาให้ตัวเครื่องรับได้เฉพาะระบบ เช่น เครื่องรับสัญญาณ       ของ UBC จะไม่สามรถนำมาใช้รับสัญญาณระบบ C-Band ได้ โดยทั่วไปเครื่องรับสามารถรับสัญญาณได้ทั้ง 2 ระบบ เพียงตั้งค่า LNBF     ให้ถูกต้องเท่านั้นเอง ข้อควรรู้เพิ่มเติม คือ ระบบ Ku-Band เป็นระบบที่ส่งสัญญาณด้วยความถี่สูง ซึ่งจะมีปัญหาการรับสัญญาณในขณะ     ฝนตกหนัก การเพิ่มขนาดใบจานอาจช่วยได้บ้างแต่ถ้าฝนตกหนัก เมฆหนาทึบ จะรับสัญญาณไม่ได้ ในขณะที่ C-Band จะเหนือกว่าตรงที่   ไม่มีปัญหาขณะฝนตก

ข้อดี
1. จานดาวเทียมระบบ KU-BAND มีขนาดเล็ด 35-75 ซม. สามารถติดตั้งได้ง่ายใช้พื้นที่ในการติดตั้งน้อย
2. สามารถติดตั้งได้สำหรับคอนโดมิเนียม หรือพาร์ทเม้นท์ ที่มีเทอเรสท์ หันไปทางทิสตะวันตกหรือทิศใต้
3. การเพิ่มจุดรับชมสามารถทำได้ง่ายราคาประหยัดเนื่องจากรีซีฟเวอร์ระบบ KU-band ราคาไม่แพง
4. สามารถชมช่องพิเศษตามของยี่ห้อดาวเทียมนั้นได้
5. การซ่อมบำรุงทำได้ง่าย ไม่ยุ่งยากอะไร เนื่องจากจานดาวเทียมมีขนาดเล็ก
6. การเคลื่อนย้ายจานดาวเทียมทำได้ง่าย สามารถทำได้เองถ้ามีทักษะพิเศษในการติดตั้งจานดาวเทียมพอสมควร

ข้อเสีย
1. จานดาวเทียม KU-BAND จะไม่สามารถรับชมรายการได้ในขณะที่ฝนตกหนัก หรือท้องฟ้าที่ครึ้มมากๆ เพราะสัญญาณดาวเทียม KU-BAND ไม่สามารถหลีกเลี่ยงเม็ดฝนที่ลงมาได้
2. ถ้าอยากชมรายการพิเศษ ต้องเสียเงินสำหรับชมช่องรายการพิเศษของจานนั้นๆ

MATV

MATV ประกอบด้วยส่วนหลักๆ 3 ส่วนคือ

1. ส่วนรับสัญญาณทีวีเข้าระบบ

        ส่วนรับสัญญาณทีวีที่เป็นสายอากาศจะทำหน้าที่รับสัญญาณทีวีที่ส่งออกมาจากเสาส่งในระบบภาคพื้นดิน แนวคิดคือการนำแผงก้างปลาหันไปตามเสาส่งต่างๆแล้วรวมสัญญาณส่งลงไปตามอาคารตามสายส่ง แต่ปัญหาของทีวีในระบบอนาลอกก็คือ คุณภาพของสัญญาณจะไม่ดี เนื่องจากเกิดการสะท้อนของคลื่นสัญญาณกับอาคารข้างเคียง ทำให้เกิดเงา การจูนสัญญาณอาจเกิดภาวะเสียงชัดภาพไม่ชัด แต่พอภาพชัดเสียงจะไม่ชัดเป็นต้น สมัยนี้ก่อนทีวีดิจิตอลภาคพื้นดินจะเกิดขึ้นจึงนิยมทำวิธีที่สอง

MATV-set
         นั้นคือส่วนรับสัญญาณเป็นจานดาวเทียม โดยการมีจานดาวเทียมนี้จะทำให้คุณภาพของสัญญาณดีมาก คมชัดทุกช่อง ไม่เป็นเงา ไม่มีปัญหาเรื่องเสียงและภาพ เราสามารถตั้งจานหลักๆ เพียงจานเดียวก็รับสัญญาณได้หลายๆ ข่อง แต่จะต้องมีการติดตั้งเครื่องรับหรือ Receiver จำนวนมากเพื่อแปลงสัญญาณดาวเทียมให้เป็นสัญญาณทีวีเพื่อส่งไปยังระบบสายสัญญาณของอาคารต่อไป
         ตัวอย่างเข่นหากมีช่องดาวเทียมทั้งหมด 100 ช่อง และเราต้องการช่องที่น่าสนใจส่งผ่านระบบ MATV เพียง 10 ช่อง เราก็จะเดินสายสัญญาณมาจากจานดาวเทียมแล้วแยกสัญญาณ 10 เส้นเข้าตัวรับสัญญาณ 10 ตัว โดยแต่ละตัวจะจูนเฉพาะช่องที่เราต้องการ จากนั้นสัญญาณจากจูนเนอร์สิบตัวนี้จะถูกนำไปแปลง (Modulate) เพื่อแปลงเป็นคลื่นวิทยุให้ทีวีสามารถรับสัญญาณได้ เสมือนทำหน้าที่เป็นเครื่องส่งขนาดเล็ก 10 เครื่องนั่นเอง จากนั้นสัญญาณเหล่านี้ก็จะถูกรวม (Combiner) เข้าด้วยกันเพื่อส่งต่อไปยังภาคขยายสัญญาณและกระจายไปตามระบบสายส่งลงสู่แต่ละห้องต่อไป
        การออกแบบระบบ MATV แบบนี้ ก็เพื่อให้มั่นใจได้ว่าทุกจุดทุกห้องจะสามารถรับชมทีวีได้ทั้ง 10 ช่องที่เลือกแล้วด้วยความคมชัด ไม่มีสัญญาณสะท้อนต่างๆเหมือนที่รับมาจากสายอากาศโดยตรง หากต้องการเพิ่มช่องก็แค่เพิ่ม Receiver และ Modulator เพิ่มเท่านั้น ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้จะมีขนาดเล็กถูกออกแบบมาโดยเฉพาะเป็นโมดูล เพื่องานในลักษณะนี้ เพราะแต่ละตัวจะทำงานแบบคงที่ มีแหล่งจ่ายไฟรวม ไม่ต้องมีหน้าจอแสดงผล ไม่ต้องมีตัวรับสัญญาณจากรีโมทในแต่ละช่อง (Channel) จึงทำให้ราคาถูกกว่าไปซื้อกล่องดาวเทียมธรรมดามาวางเรียงกัน

2. ภาคขยายสัญญาณทีวี

        เนื่องจากโดยทั่วไปแล้วทีวีแต่ละเครื่องจะรับสัญญาณได้ดีที่ความแรงของสัญญาณ 60 – 80 dB หากน้อยกว่า 60 dB ภาพจะมีการรบกวนมากจะเป็นเม็ดๆ หรือเรียกตามระบบทีวีอนาลอกว่าเป็นหิมะ (Snow) หากมากเกิน 80 dB ภาพจะหยาบสีเข้มเกินไป เกิดการเหลื่อมของสีมาก โดยทั่วไปแล้วจะมีการออกแบบให้มีความแรงสัญญาณอยู่ประมาณ 70 dB
MATV-amplifier
        การขยายสัญญาณก่อนส่งผ่านไปยังระบบสายส่ง มักจะมีการขยายสัญญาณขึ้นไปถึง 90 – 110 dB ซึ่งขึ้นอยู่กับการออกแบบ เพื่อชดเชยการสูญเสียสัญญาณตามจุดต่างๆ ให้เหลือที่ปลายทางทุกจุดอยู่ในช่วง 70 dB ตามที่กล่าวข้างต้น

3. ส่วนกระจายสัญญาณทีวีไปตามจุดต่างๆ

        ส่วนกระจายสัญญาณจะทำหน้าที่หลักๆ กระจายสัญญาณทีวีให้เหมาะสมในแต่ละจุด และทำหน้าที่กำหนดความต้านทานรวมที่ 75 โอห์ม ในการกระจายสัญญาณไปในแต่ละจุดนั้นจะต้องมีการออกแบบให้ทุกจุดได้รับสัญญาณในช่วง 60 – 80 dB นั่นหมายถึงว่าภาคขยายสัญญาณในข้อ 2 จะต้องขยายสัญญาณให้สูงกว่านี้เพื่อชดเชยการสูญเสียสัญญาณในจุดต่างๆ ส่วนการทำหน้าที่กำหนดความต้านทานรวมหรือ Matching Impedance นั้นก็เพื่อให้กำลังขยายที่ออกมาจากภาคขยายนั้นสูงสุด ไม่งั้นคลื่นจะสะท้อนไปมาระหว่างในสายและจะทำให้เกิดเงาของภาพขึ้นมาได้
อุปกรณ์ที่สำคัญในระบบกระจายสัญญาณมีดังต่อไปนี้
– Tap-off เป็นการแยกสัญญาณจากสายส่งหลักไปยังตัวกระจายสัญญาณไปตามห้องอีกที ซึ่งอาจจะมีทั้งแบบ 2 ทางไปจนถึง 4 ทาง การสูญเสียสัญญาณที่นี่ (Tap loss) จะมีตัวเลขสูงเนื่องจากเป็นตัวแบ่งสัญญาณหลักๆ สายสัญญาณที่ใช้ในช่วงนี้จะเป็นแบบ RG-11
– Splitter ตัวแยกสัญญาณไปยังแต่ละห้องอีกทอดหนึ่ง สัญญาณที่มาจาก Tap-off จะผ่านตัว Splitter อีกทีอันเป็นด่านสุดท้ายที่จะแยกไปตามห้องต่างๆ ยิ่งมีการแยกสัญญาณเยอะ การสูญเสียสัญญาณ (Insertion loss) ก็จะเยอะตามไปด้วย สายสัญญาณที่ใช้ในช่วงนี้จะเป็นแบบ RG-6
        แต่จะว่าไปแล้วช่างอาจจะเรียกทั้งหมดว่าเป็น Tap off หรือเรียกทั้งหมดว่าเป็น Splitter ก็ได้ เป็นอันเข้าใจกันว่ามีระบบกระจายสัญญาณสองช่วงนั่นเอง การออกแบบบางกรณีอาจจะใช้เทคนิคการ Tap สัญญาณไปเรื่อยๆก็ได้ หรือเริ่มจาก Splitter ก่อนแล้วค่อย Tap ออกไปตามห้องต่างๆ หรือผสมผสานกันก็ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วช่างจะเริ่มจากการ Split สัญญาณแล้วค่อย Tap ไปตามห้องมากกว่า
        โดยรวมแล้วเราก็จะเลือกช่องที่มี Tap loss สูงไว้ในบริเวณต้นทาง เช่นตึกช่วงบนๆ ส่วน Tap loss ต่ำๆ ก็จะเลือกส่งไปบริเวณชั้นล่างๆ เนื่องจากสายสัญญาณที่ยาวขึ้นมีการสูญเสียในสายเพิ่มขึ้นเพื่อให้ค่าเฉลี่ยโดยรวมเท่าๆกัน จากนั้นก็ต่อไปยัง Splitter เพื่อแยกไปตามแต่ละห้องอีกที

สรุป

        หลักการเบื้องต้นของ MATV ที่กล่าวมานั้นเป็นของระบบทีวีที่ตัวทีวีมีจูนเนอร์แบบอนาลอก เนื่องจากเราห่วงเรื่องการเกิดเงาของคลื่นมาก การส่งผ่านสัญญาณในสายสัญญาณที่ฝาห้องจะเป็น RF แบบอนาลอกที่ทีวีต้องมีจูนเนอร์แบบ อนาลอก แต่การออกอากาศทีวีระบบดิจิตอล ที่มีการออกอากาศแบบความคมชัดสูงหรือ HD ด้วย การออกแบบในลักษณะดังกล่าวจึงไม่สามารถรองรับทีวีดิจิตอลได้ ดังนั้นการออกแบบระบบ MATV สำหรับการรับชมทีวีดิจิตอลภาคพื้นดินจึงอาจจะต้องเปลี่ยนแนวคิดใหม่ นั่นคือการส่งผ่านสัญญาณจากสายอากาศ ขยายสัญญาณแล้วกระจายสัญญาณโดยตรงลงมาตามห้องต่างๆ โดยแต่ละห้องก็จะมี Set top box หรือทีวีที่มีดิจิตอลจูนเนอร์ในตัว นั่นหมายความว่าต้องส่งผ่านความถี่ทุกช่วง ตั้งแต่ 470 – 862 MHz นั่นเอง
MDU-MATV-system